
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันที่ 1 ธ.ค. 2568 ที่ระดับ 32.09 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากปลายสัปดาห์ก่อน ตามทิศทางเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงและแรงรีบาวด์ของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ตลาดยังคงคาดหวังว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้
ตลอดคืนก่อนหน้า เงินบาทเคลื่อนไหวแบบ Sideways Down อยู่ในกรอบ 32.03–32.22 บาทต่อดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากบรรยากาศการลงทุนแบบเปิดรับความเสี่ยงในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งลดความต้องการถือครองดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของบาทถูกชะลอโดยราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้นหลัง OPEC+ ระงับแผนเพิ่มกำลังการผลิต รวมถึงเงินหยวนจีนที่อ่อนค่าลงจากตัวเลข PMI ภาคการผลิตและบริการที่ต่ำกว่า 50 จุด สะท้อนภาวะหดตัวทางเศรษฐกิจ
แนวโน้มค่าเงินบาท: มีโอกาสแข็งต่อ แต่ยังเสี่ยงผันผวน
นักวิเคราะห์ประเมินว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อ เนื่องจากเข้าสู่ไฮซีซันท่องเที่ยว และตลาดยังเชื่อว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม โดยคาดว่าเงินบาทอาจปิดปีแถว 32.00 บาทต่อดอลลาร์ แต่ยังคงเผชิญความเสี่ยงสองทางตามข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลประชุม FOMC
ระดับแนวรับของเงินบาทอยู่ที่ 32.00–32.10 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 32.30–32.50 บาท ซึ่งคาดว่ายังผ่านได้ยาก หากเงินบาทอ่อนค่าขึ้นมาในช่วงสั้น ๆ
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
ช่วงนี้เงินบาทอาจผันผวนตามการเคลื่อนไหวของ ราคาทองคำ, ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ และเงินบาทเอเชีย โดยเฉพาะเงินหยวนจีน หากเฟดประกาศคงดอกเบี้ยหรือลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด มีโอกาสทำให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าทันที
มุมมองตลาดโลกสัปดาห์นี้
ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาอย่างใกล้ชิดต่อข้อมูลสำคัญสหรัฐฯ รวมถึงการจ้างงานจากภาคเอกชน (ADP, Revelio, Challenger) ดัชนี PMI และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดจะมีผลต่อคาดการณ์นโยบายการเงินเฟด ปัจจุบันตลาดให้น้ำหนักกว่า 83% ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธันวาคม
ฝั่งยุโรปนักลงทุนรอฟังทิศทางดอกเบี้ยของ ECB และ BOE พร้อมติดตามสถานการณ์รัสเซีย–ยูเครนที่อาจสร้างแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยง ด้านเอเชียจับตาตัวเลข PMI ของจีน และการประชุม RBI ของอินเดีย
สำหรับฝั่งไทย คาดว่าเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนจะขยับขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ตลาดรอดูรายงาน PMI ภาคการผลิตและดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเพื่อประเมินโมเมนตัมเศรษฐกิจช่วงปลายปี