ช่วงต้นเดือนกันยายน 2568 ราคาทองคำในไทยและต่างประเทศกลับมา “จัดจ้าน” อีกครั้ง โดย สมาคมค้าทองคำ ออกมามองว่ามีโอกาสที่ราคาจะพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่ (All‑Time High) ได้อีก หากปัจจัยพื้นฐานเอื้ออำนวย

เหตุการณ์ล่าสุด &มุมมองสมาคมค้า
- เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2568 ราคาทองในไทยเปิดตลาดพุ่งขึ้นถึง บาทละ 800 บาท ทำสถิติใหม่ที่ 54,200 บาท ต่อบาททองคำ (Gold Bar 96.5%) โดยราคาทองต่างประเทศขึ้นไปถึง US$3,537.50 / ออนซ์ ถือเป็นจุดสูงสุดใหม่ของปีนั้นด้วย พรีพงศ์ ฉัตร์ทอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยทองคำ สมาคมค้าทอง กล่าวว่า หากปัจจัยเสี่ยงในเศรษฐกิจสหรัฐชัดเจนขึ้น และเฟดมีการลดดอกเบี้ยมากกว่าคาด ราคาทองไทยอาจทะลุจุดสูงสุดเดิมที่ 54,800 บาทได้ไม่ยาก
- นายพรีพงศ์ให้มุมมองว่า ปัจจัยหนุนที่สำคัญคือ ความเสี่ยงในการค้าระหว่างประเทศ ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เงินเฟ้อในสหรัฐฯ และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งทำให้นักลงทุนมองทองเป็นสินทรัพย์หลบภัย (safe haven) มากขึ้น
- นอกจากนี้ แม่ทองสุก / MTS Gold ได้ปรับเป้าราคาทองคำโลกในปีนั้นขึ้นเป็น US$3,650 / ออนซ์ หลังทองคำทะลุแนวต้านที่ US$3,450 และสร้างสัญญาณขาขึ้นใหม่ได้สำเร็จ
- บทความอื่น ๆ ยังระบุว่า สมาคมค้าทอง มองว่าราคาทองจะยังคงเดินหน้าในทิศทางขาขึ้น และมีโอกาสทำ All‑Time High ใหม่ “สิ้นปีนี้” ถ้าดอลลาร์อ่อนลงและเฟดลดอัตราดอกเบี้ยตามคาด
ปัจจัยหนุน & ความเสี่ยงที่ต้องจับตา
ปัจจัยหนุนหลัก
- ความคาดหวังที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งช่วยลดต้นทุนถือทองคำ (เพราะทองไม่ให้ดอกเบี้ย)
- ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ทำให้ทองคำที่ตั้งราคาด้วยดอลลาร์ดูถูกลงสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก ภูมิรัฐศาสตร์ และแรงซื้อทองจากธนาคารกลางหลายประเทศ
- ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในบางช่วง ช่วยให้ราคาทองในไทยถูกขับขึ้นอีกทางหนึ่ง
ความเสี่ยงที่อาจทำให้ราคาปรับกลับ
- ถ้าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีเกินคาด เช่น การจ้างงาน / เงินเฟ้อ อาจทำให้เฟดชะลอหรือลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด
- ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า หรือ yield พันธบัตรเพิ่มขึ้น ทำให้ทองคำเสียเปรียบ
- แรงขายทำกำไรหลังราคาพุ่งสูงเร็ว อาจทำให้เกิดการพักฐานหรือปรับลดช่วงสั้น ๆ
- ความผันผวนค่าเงินบาท ที่ถ้ามีการแข็งค่ามาก อาจลดแรงขึ้นราคาทองในไทย