ในปี 2025 รัฐบาลเวียดนามกำลังเดินหน้าปรับโครงสร้างตลาดทองคำครั้งใหญ่ โดยมีเป้าหมายยกเลิกผูกขาดของรัฐและสร้างตลาดที่มีการแข่งขันได้จริง ส่งผลให้ภาคเอกชนสามารถนำเข้าและผลิตทองแท่งได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ยุติระบบผูกขาด – เอื้อภาคเอกชนเข้าทดแทน
- ยกเลิกผูกขาดทองคำ: Decree 24/2012/ND-CP ที่มอบอำนาจนำเข้าและผลิตทองคำให้กับบริษัท SJC เพียงรายเดียว จะถูกปรับแก้ไขเพื่อเปิดให้ ธนาคารและบริษัทที่ผ่านการรับรอง สามารถเข้ามาเป็นผู้ผลิตทองแท่งและนำเข้าทองดิบได้
- เพิ่มการแข่งขัน – ลดช่องว่างราคา: นโยบายนี้มุ่งลดเบี้ยประมาทราคาทองภายในประเทศให้เหลือเพียง 1‑2% เทียบกับราคาทองโลก จากเดิมที่สูงถึงหลายแสนดองต่อ บาททอง
สถานะปัจจุบันและกลไกควบคุมตลาด
- กำหนดคุณสมบัติผู้ได้รับอนุญาต: บรรษัทและธนาคารที่มีทุนจดทะเบียนตามเกณฑ์ เช่น VND 1‑50 ล้านล้านดอง จะได้รับใบอนุญาตนำเข้าและผลิตทอง แต่นโยบายยังคุมคราวคุมเข้มด้วยระบบตรวจสอบย้อนหลังและระบบอิเล็กทรอนิกส์
- ชี้ลดราคามี ช่องทางถูกกฎหมาย ช่วยลดการลักลอบนำเข้าและปั่นราคา: ตลาดทองถูกควบคุมตึงเคยมีปัญหาราคาเบี้ยประมาทสูงและการลักลอบนำเข้า แต่การปรับปรุงครั้งนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้
โครงสร้างสำนักงานใหม่และความโปร่งใส
- เสนอจัดตั้งตลาดซื้อขายทองแห่งชาติ: ระบบใหม่อาจมีตลาดกลางซื้อขายทองที่รัฐแบงก์และกระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมดูแล เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดการเก็งกำไรในตลาด
- ใช้เทคโนโลยีชะลอการคอร์รัปชัน: ระบบการทำธุรกรรมจะบันทึกผ่านบัญชีธนาคารและใบกำกับเงินอิเล็กทรอนิกส์, พร้อมระบบตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์—ลดแรงต้านจากการดำเนินงานไม่โปร่งใสในอดีต
ผลกระทบต่อผู้บริโภคและเศรษฐกิจภาพรวม
- ผู้บริโภคได้ประโยชน์ตรง: ราคาทองมีแนวโน้มลดลงและใกล้เคียงตลาดโลกมากขึ้น โดยเฉพาะผู้บริโภคทั่วไปและนักลงทุนรายย่อยจะมีทางเลือกที่หลากหลายและแข่งขันราคาได้มากขึ้น
- กระตุ้นอุตสาหกรรมผลิตเครื่องประดับ: การนำเข้าวัตถุดิบทองดิบจะช่วยให้ธุรกิจภาคเอกชนเข้าถึงเครื่องทุนได้ง่ายขึ้น เพิ่มโอกาสในการส่งออกและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
- สร้างตลาดมีเสถียรภาพระยะยาว: ด้วยโครงสร้างที่โปร่งใสและมีการแข่งขัน การปั่นราคาจะลดลง ส่งผลให้ราคาทองในประเทศมีความมั่นคงมากขึ้น
สรุป
เวียดนามกำลังเดินหน้าปฏิรูปตลาดทองคำ โดยยกเลิกระบบผูกขาด เปิดให้เอกชนและธนาคารได้รับอนุญาตนำเข้าและผลิตทองคำได้อย่างเป็นระบบ นโยบายนี้จะช่วยลดแรงซื้อที่ไม่ถูกกฎหมาย เพิ่มอุปทานทองและความโปร่งใส ต่อยอดสู่ตลาดที่แข่งขันได้และมั่นคง ในระยะยาวส่งผลดีทั้งต่อผู้บริโภคและระบบเศรษฐกิจ