ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงอีกครั้ง โดยปิดตลาดราว 33.87 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 33.67 บาท/ดอลลาร์ การอ่อนค่าครั้งนี้ได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ หลังเฟดยังคงส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังไม่ลดลงในเร็ววัน
ขณะที่ ราคาทองคำโลก ผันผวน โดยแตะระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ราว 3,057 ดอลลาร์/ออนซ์ ก่อนจะย่อตัวลงจากแรงขายทำกำไร

5 ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาสัปดาห์หน้า (25-29 มีนาคม 2568)
1. ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
ตลาดเฝ้ารอสัญญาณที่ชัดเจนจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยเมื่อใด หากเฟดยัง “สายเหยี่ยว” อาจหนุนดอลลาร์ให้แข็งต่อไป กดดันเงินบาทให้อ่อนเพิ่มขึ้น
2. ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ – PCE Index
ตัวชี้วัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญมากที่สุด หากตัวเลขยังอยู่ในระดับสูง จะเพิ่มความเสี่ยงที่เฟดจะคงดอกเบี้ยนานกว่าคาด
3. กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flows)
การไหลเข้า-ออกของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยส่งผลโดยตรงต่อค่าเงินบาท หากต่างชาติขายสุทธิ ค่าเงินบาทอาจอ่อนต่อ
4. ราคาทองคำในตลาดโลก
ราคาทองคำที่สูงขึ้นจะกระตุ้นแรงขายจากนักลงทุนในประเทศเพื่อทำกำไร ส่งผลให้เกิดแรงซื้อดอลลาร์ กดดันเงินบาทให้อ่อนค่า
5. ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์
สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ยูเครน-รัสเซีย และท่าทีของจีน-สหรัฐ ยังเป็นตัวแปรเสี่ยงที่อาจกระทบตลาดเงินทั่วโลก
แนวโน้มเงินบาทและทองคำ
- เงินบาท คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.60 – 34.10 บาท/ดอลลาร์ โดยมีทิศทางอ่อนค่าหากเงินเฟ้อสหรัฐยังสูง
- ทองคำ ยังมีโอกาสปรับขึ้นหากดอลลาร์อ่อนตัวในระยะกลาง โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 3,100 ดอลลาร์/ออนซ์
สรุป
การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงนี้สะท้อนความไม่แน่นอนในระดับโลก นักลงทุนควรติดตามปัจจัยสำคัญทั้งจากฝั่งสหรัฐฯ และความเคลื่อนไหวของราคาทองคำอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินความเสี่ยงและโอกาสในตลาดการเงิน