ราคาทองคำในตลาดโลกกำลังเผชิญกับช่วงที่แข็งแกร่ง โดยล่าสุด ราคาทอง Spot ทะลุแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $3,673.95 ต่อออนซ์ ซึ่งสะท้อนถึงแรงซื้อที่หนาแน่นจากนักลงทุน และความคาดหวังที่สูงขึ้นเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ

ปัจจัยที่หนุนราคาทองขึ้น
- ดอลลาร์อ่อน
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ทำให้ทองคำที่ตราเป็นดอลลาร์ดู “ถูกลง” สำหรับผู้ถือเงินสกุลอื่น ยิ่งส่งผลให้ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น (เพราะราคาสัมพันธ์กับดอลลาร์) - การคาดหวังการลดดอกเบี้ยของเฟด
ตัวเลขแรงงานที่อ่อนแอกว่าคาดและอัตราการว่างงานที่ปรับขึ้นเล็กน้อยกระตุ้นให้ตลาดเชื่อว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมที่จะมาถึง ความคาดหวังนี้เป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักที่หนุนราคาทองให้พุ่งสูงขึ้น - อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond yields) ลดลง
ยีลด์พันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ร่วงลง ส่งผลให้ต้นทุนโอกาส (opportunity cost) ในการถือทองคำลดน้อยลง เพราะทองคำไม่จ่ายดอกเบี้ย แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำลง ก็ยิ่งดูน่าสนใจขึ้น - ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ & ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์
ปัจจัยต่างประเทศ เช่น ความตึงเครียดทางการเมืองและสงคราม รวมถึงความกังวลในเรื่องนโยบายการเงินที่อาจถูกแทรกแซงทางการเมือง สร้างแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven)
สิ่งที่ตลาดกำลังจับตามอง
- ผลประชุมเฟด: วันที่จะลดดอกเบี้ยจะเป็นวันที่สำคัญมาก ตลาดกำลังตั้งความหวังให้เป็นการลด 25 basis points แต่ก็มีเสียงบอกว่าอาจมีแรงกดดันให้ลดมากกว่านั้นหากเศรษฐกิจอ่อนแอมากขึ้น
- ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ เช่น CPI, PPI, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน, Non‑Farm Payrolls — ถ้าออกมาแข็งแรง ราคาทองอาจถูกกดดันกลับได้
ความเสี่ยงที่อาจทำให้ราคาทองปรับลด
- หากดอลลาร์ฟื้นตัวขึ้น จะทำให้ทองคำที่ตราเป็นดอลลาร์แพงขึ้นสำหรับผู้ถือเงินสกุลอื่น จึงอาจลดความต้องการได้
- ถ้าเฟดส่งสัญญาณว่าอาจยังไม่ลดดอกเบี้ยเร็ว หรือมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อสูงเกินคาด อาจทำให้ตลาดผันผวนแรง
- นักลงทุนที่ซื้อขึ้นมาแรงอาจเริ่มขายทำกำไร (profit‑taking) เมื่อราคาสูงเกินไป ซึ่งจะทำให้มีแรงเทขายกลับ