หลายสำนักวิเคราะห์ในไทยมองว่าราคาทองคำโลกยังมีแรงขึ้นจากปัจจัยภายนอกหลายอย่าง เช่น ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่อาจมีการลดอัตราดอกเบี้ย ความวิตกเกี่ยวกับภาษีและการค้าระหว่างประเทศ และการสะสมทองคำโดยธนาคารกลางทั่วโลก ‒ ซึ่งรวมกันเป็นแรงผลักดันให้ตลาดทองคำยัง “อยู่ในขาขึ้น” ได้

ทางเลือกการลงทุนที่แนะนำ
เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงโดยเฉพาะความผันผวนของค่าเงินและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ กูรูหลายคนแนะนำว่า:
- กองทุนทองคำ (Gold Funds / Gold Mutual Funds / กองทุนรวมทองคำ) เป็นทางเลือกที่ดี เพราะสามารถลงทุนได้โดยไม่ต้องถือทองแท่งจริงโดยตรง และมีความสะดวก—ซื้อขายหน่วยลงทุนได้ง่ายกว่า
- ควรเลือกกองทุนที่มีนโยบาย ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Hedged) ถ้าค่าเงินบาทหรือสกุลเงินที่ลงทุนมีแนวโน้มอ่อนค่า เพราะกองทุนแบบ Hedged จะช่วยลดความเสี่ยงเมื่อต้องแปลงค่ากลับเป็นเงินบาทไทย
- ถ้าคิดลงทุนในกองทุนทองคำ ควรกำหนดสัดส่วนที่เหมาะสมในพอร์ต — ไม่ควรเอากองทุนทองคำเป็นส่วนใหญ่ของพอร์ต เพราะทองคำแม้ให้ผลตอบแทนดีในช่วงบางช่วง แต่ก็มีความผันผวนสูง และไม่ได้จ่ายดอกเบี้ย
ตัวอย่างกองทุนและผลตอบแทนที่น่าสนใจ
- “กองทุนทองคำ” บางกองในไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8‑9% ต่อปี ในช่วงที่ผ่านมา ‒ เมื่อรวมกับการลงทุนระยะยาวจะให้ผลดีมากขึ้น
- กองทุน SCB GOLD THB Hedged RMF เป็นหนึ่งในตัวอย่างของกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในทองคำต่างประเทศผ่าน ETF และอาจใช้การเฮดจ์ค่าเงินด้วย
- ผลตอบแทนกองทุนที่เกี่ยวข้องกับทองคำในไทยบางกองปี 2568 อยู่ในช่วงประมาณ 20% เมื่อเทียบกับต้นปี
ข้อควรระวัง
- ราคาทองคำสามารถปรับขึ้นเร็ว แต่ก็สามารถปรับลดกลับได้แรงถ้ามีข่าวตรงข้าม เช่น ดอกเบี้ยสูงกว่าคาด ตัวเลขเศรษฐกิจแข็งแรงเกินไป หรือค่าเงินแข็งตัว
- ค่าใช้จ่ายของกองทุนรวมทองคำ เช่น ค่าธรรมเนียมจัดการ และเงื่อนไขการเฮดจ์ค่าเงิน จำเป็นต้องดูให้ดี เพราะมีผลต่อผลตอบแทนสุทธิ
- นักลงทุนควรกำหนดมุมมองระยะกลาง‑ยาว (3‑5 ปีหรือมากกว่า) ถ้าหวังจะรับผลตอบแทนดีและลดความเสี่ยง